Good Evening - Good Evening นิยาย Good Evening : Dek-D.com - Writer
NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด

    Good Evening

    ความรักอาจจะมาตอนพระอาทิตย์อัสดง การเปิดหัวใจอาจมีเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวของชีวิต

    ผู้เข้าชมรวม

    128

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    128

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักสีเทา
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  18 ม.ค. 66 / 22:23 น.
    คำเตือนเนื้อหา NC

    มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ



    ข้อมูลเบื้องต้น

    เพราะอะไรกันนะ..

     

    ผมรู้สึกตัวอีกที.. ผมก็เห็นตัวเองยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารวิศวกรรมที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ ..

     

    แปดปีแล้วสินะ.. ที่ดักดานงมโข่งเรียนอยู่ที่นี่ ติดโปรเทอมสุดท้าย พร้อมๆ กับโอกาสเทอมสุดท้ายของโควต้าที่ผมจำเป็นต้องจบภายในแปดปี.. แต่ผมกลับทำไม่ได้

     

    บางทีผมก็พยายามจะโบ้ยความผิดให้เป็นเพราะรัฐบาลเฮงซวยที่แก้ไม่ตกกับปัญหาระบบการศึกษาของประเทศไทยทั้งที่อันที่จริงแล้ว มันเป็นเพราะผมไม่ฉลาดพอต่างหาก

     

    เท้าผมกำลังจะก้าวขึ้นไปเหยียบบนขอบกำแพงสุดท้าย ก่อนที่หลังกำแพงจะไม่มีอะไรกั้นระหว่างฟ้ากับพื้นอีกต่อไป

     

    ผมเหลือตัวคนเดียวแล้วที่นี่.. ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงก็หายหน้าไปหมดแล้วเพราะเรียนจบกันหมด ไม่ว่าจะเป็นแฟนก็หายหน้าไปนานแล้ว เพราะผมเป็นคนที่ไม่ดีพอ พ่อแม่ก็เบื่อหน่ายกับความโง่ดักดานของผมเต็มทน..

     

    เสียงลมผ่านหูผมอื้ออึงไปหมด ความรู้สึกที่ยืนอยู่บนชั้นสิบสองของอาคารเป็นอย่างนี้เองสินะ ผมบ่นพึมพำกับตนเองพร้อมกับหยิบมือถือเครื่องเก่งของผมขึ้นมา หน้าจอมันดูทรุดโทรมไปมาก.. เจ้านี่คือสิ่งเดียวที่อยู่กับผมมาก่อนที่ผมจะออกเดินทางจากบ้านมาเรียนต่อปริญญาตรีที่นี่.. ความฝันที่อยากจะเป็นวิศวกรมันหดหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว แต่เจ้ามือถือเครื่องนี้ยังเป็นสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวของผมอยู่

     

    ผมค่อยๆ จิ้มลงบนปุ่มช้าๆ โทรศัพท์เก่าๆ ต้องค่อยๆ กด เพราะขืนทำรุนแรงกับมันมันก็จะเดี้ยงไปซะก่อน.. หึ.. ผมหัวเราะในลำคอพลางส่ายหน้า “นี่ผมกำลังห่วงมือถือมากกว่าชีวิตผมเองซะอีกแฮะ”

     

    ผมค่อยๆ กดเลื่อนหาเบอร์ของแม่ เพื่อโทรบอกเขาเป็นครั้งสุดท้ายว่าผมคงจะไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว.. ผมจะลาเขาซักทีเพื่อไปยังที่ๆ ดีกว่านี้

     

    “อย่าโดดนะคะ!!!!” เสียงตะโกนโหวกเหวกด้วยน้ำเสียงสั่นคลอดังมาจากข้างหลังผม “อย่าคิดสั้นนะคะพี่”

     

    ทันใดนั้นเอง มือถือผมก็พลันหลุดมือ..

     

    “โถ่เอ้ย.. อุตส่าห์ถนอมใช้มาตั้งหลายปี ดันมาพังเพราะตกจากดาดฟ้าตึกเนี่ยนะ..”

    ผมพึมพำกับตัวเอง หลังจากนั้นผมก็เริ่มรู้สึกเซ็งและหันกลับมายังต้นตอของเสียง.. แต่ทว่า..

     

     

    Good Evening

    รักแรกของหัวใจ เทอมสุดท้ายของชีวิต

     

    พ.ศ. 2553

     

    “เฮ้ยน้อง ตะโกนทำไม พี่ตกใจหมด ดูดิ๊ มือถือหล่นลงไปข้างล่างเลย ป่านนี้กระจายเป็นเศษพลาสติกแล้วมั้งเนี่ย”

    “ก็พี่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตายนิ จะไม่ให้ตะโกนได้ไง” เด็กผู้หญิงลึกลับยังคงเถียงผมกลับ

    “ฆ่าตัวตายบ้าไร พี่ขึ้นมาหาสัญญาณตะหาก ในอาคารมันทึบ อับสัญญาณ ไอ้ค่ายอีแทคแม่งห่วย”

    “พี่อย่ามาโกหกเลย เดี๋ยวก็ฟ้องอาจารย์ซะหรอก”

    “โกหกอะไรห๊ะ ยัยขี้เหร่ จะไปไหนก็ไปเลยไป๊”

    “โถ่เอ้ย คนอุตส่าห์หวังดี จะโดดตึกก็โดดไปเลยไป๊ไอ้ขี้เหร่ หล่อตายละ”

    “อ้าว.. วอนซะแล้ว..”

     

    หลังจากที่เธอพูดจบก็วิ่งเข้าประตูไป ผมก็ลงมาจากขอบกำแพงเพราะเซ็งที่มีคนมาขวาง ผมเดินลงบันไดมาช้าๆ ก็ยังเห็นเธอยืนพิงกำแพงร้องไห้ ผมเลยเดินเข้าไปหาเธอแบบรู้สึกผิด..

     

    “ขอโทษทีนะเมื่อกี้ พี่โมโหไปหน่อย” ผมพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติแล้ว หลังจากตะคอกเธอไป

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูไม่ได้คิดมาก เพียงแต่ไม่อยากให้พี่ทำผิดพลาด” เธอยังร้องไห้กระซิกอยู่ ผมเลยเอ่ยปากหาวิธีปลอบใจ

    “ทานข้าวหรือยัง นี่มันก็จะหกโมงเย็นแล้วนะ เอางี้ละกัน พี่เลี้ยงข้าวมื้อนึงเพื่อเป็นการปลอบใจ”

    “พี่จะฆ่าตัวตายอยู่เมื่อกี้ แล้วจะมาจีบหนูเนี่ยนะ” จากอาการร้องไห้ก็เริ่มหันมาทำตาเหล่ใส่ผมเฉยเลย..

    “บ.. บ้าน่า ไม่ได้คิดอะไรทะลึ่งซักหน่อย ลำบากใจก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ”

    “อะเค งั้นหนูไป..”

     

    อะไรของมึงวะ.. ผมแค่คิดในใจเฉยๆ นะ

     

    “พี่ชื่อไรคะ หนูชื่อบะหมี่”

    “พี่ชอบกินเส้นเล็กมากกว่า...” ไม่ได้ตรงคำถามเลย

    “เพื่อนเล่นเหรอพี่? เอาดีๆ” แน่ะ..มีงอนอีก

    “พี่ชื่อสายัณห์น่ะ..”

    “โห.. เชยเนอะ ชื่อเหมือนพี่เป้าเลย”

    “นี่.. ถ้าขนาดรู้ชื่อพี่เป้าสายัณห์น่ะ แสดงว่าตัวเธอก็เชยเหมือนกันแหละน่า”

    “งั้นลงจากตึกกันเถอะ เดี๋ยวแม่บ้านมาปิดอาคารเรียนจะลงไม่ได้เอานะ”

     

    ผมเดินลงมาถึงข้างล่างพร้อมกับบะหมี่ เด็กสาวปริศนาที่เพิ่งรู้จักกัน เธอยังคงมีคราบน้ำตาเล็กน้อยบนใบหน้าและท่าทางเหม่อๆ นิดหน่อย อากาศข้างล่างก็เริ่มเย็นแล้วเพราะเป็นเดือนธันวาคมพอดี

     

    อีกอย่างช่วงนี้เป็นช่วงหลังสอบกลางภาคพอดีเลยทำให้คนเริ่มเบาบาง แต่ก็ยังพอมีกลุ่มคนยืนมุงกันด้านหน้าอาคารเหมือนมีกิจกรรมอะไรบางอย่างซึ่งก็เป็นปกติของมหาลัยนี้อยู่แล้วที่พวกเด็กเรียนทั้งหลายต่างหาความสำราญหลังสอบกัน

     

    ผมและเธอเดินหลบกลุ่มคนเหล่านั้นออกมาเพื่อไปที่ร้านอาหาร แน่นอนว่าผมเลี้ยงข้าวเธอตามที่รับปาก แต่ดูเหมือนตลอดเวลาที่นั่งกับผมเธอเหมือนรู้สึกจะอึดอัดใจ เพราะผมเห็นเธอมองนาฬิกาข้อมือของเธอที่เป็นลายตัวการ์ตูนสติทช์ตลอดเวลา..

     

    “รีบไปไหนงั้นเหรอ เห็นดูเวลาบ่อยจัง”

    “ออ.. ก็ไม่หรอกค่ะ เพียงแต่ว่าเดี๋ยวสองทุ่มจะต้องไปธุระ ดูเวลาไว้เผื่อคนเยอะได้ข้าวไม่ทัน”

    “เอ้อ.. จริงสิ เมื่อกี้ลืมเดินไปดูมือถือที่หล่นลงมาแฮะ ป่านนี้ศพกระจายเกลื่อนพื้นแล้วมั้ง”

    “แหม.. พูดซะน่ากลัวเลย ทำไมต้องใช้คำว่าศพด้วยหล่ะ”

    “อ๋อ ไม่ชอบเหรอ พี่จะพยายามไม่พูดละกัน”

    “พี่จะไปดูมันทำไมเหรอ”

    “ก็..เผื่อซิมยังใช้ได้อยู่ไง อาจจะหาเครื่องใหม่แล้วใช้ซิมเดิม”

    “แล้วเมื่อกี้.. พี่จะกระโดดตึกทำไมเหรอคะ มีเรื่องกลุ้มใจอะไรเหรอคะ”

    “ก็..นะ”

     

    เรานั่งคุยกันที่ร้านข้าวอีกพักใหญ่ๆ เพราะร้านนี้คนไม่ค่อยมี เรานั่งคุยกันจนเกือบๆ สองทุ่มซึ่งจริงๆ ช่วงนี้คนน่าจะเยอะแต่ดันเหลือแค่โต๊ะผมที่ยังนั่งอยู่ ผมได้เล่าความอัดอั้นตันใจทุกอย่างที่ผมมีให้เธอได้รับรู้ และแน่นอนว่าผมเองก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมเยอะ

     

    ..มีคนรับฟังปัญหาแล้วมันดีอย่างนี้นี่เอง และหลังจากที่ผมเล่าของตัวเองแล้วผมก็เริ่มถามเรื่องของเธอบ้าง ซึ่งเธอก็เปิดเผยแค่นิดหน่อยไม่ได้รับอะไรมากนัก เพียงแต่รู้ว่าเธอเพิ่งเลิกกับแฟนคนเก่าเพราะแฟนคนนั้นไปมีคนอื่น

     

    “สองทุ่มแล้ว.. เดี๋ยวหนูขอตัวก่อนนะ”

    “อ่ะ ได้ๆ”

    “ขอบคุณที่เลี้ยงข้าวนะคะพี่ ไว้วันหลังหนูจะเลี้ยงพี่บ้าง เดี๋ยวแนะนำร้านแจ๋วๆ ให้”

    “พี่อยู่นี่มาตั้งเจ็ดกว่าปี สำรวจหมดแล้ว ยังมีร้านแจ๋วๆ ร้านอื่นอีกเหรอ”

    “แหม ไม่ได้บอกว่าแถวนี้ซักหน่อย”

     

    ด้วยความที่ผมเป็นคนไม่ชอบเที่ยวชอบดื่มหรือสูบบุหรี่อะไร ทำให้ผมไม่สนใจท่องราตรีหรือเสาะแสวงหาร้านอร่อยๆ ย่านอื่นเท่าไหร่นอกจากภายในเขตที่ผมอยู่ มีเพื่อนพาไปโน่นมานี่บ้างเป็นครั้งคราวแต่หลังจากสี่ปีที่เพื่อนผมเรียนจบกันเกือบทั้งหมด

     

    ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไปและไม่เคยติดต่อหรือโทรมาหาผมอีก อันที่จริงก็ไม่แปลกเพราะการเรียนที่นี่เหมือนแค่มาอาศัยเรียนร่วมกันให้มันจบๆ ไป ไม่ได้มีเพื่อนซี้เพื่อนตายเหมือนอย่างตอนเคยเรียนมัธยมอยู่แล้ว

     

    ผมเดินกลับมาที่ห้องพัก ซึ่งไม่ไกลจากมหาลัยผมเท่าใดนัก ทิ้งกระเป๋าลงข้างเตียง ไม่ทันได้ถอดรองเท้า ผมก็หงายหลังเอนลงบนเตียงอันเก่าของผม กลิ่นจากผ้าห่มและปลอกหมอนบ่งบอกว่ามันควรถึงเวลาที่จะต้องซักแล้ว..

     

    เอาเถอะ..พรุ่งนี้ไม่มีเรียน เดี๋ยวค่อยซักก็ได้ ผมบอกกับตัวเอง ไม่ทันได้คิดอะไรเพลินๆ ต่อก็มีเสียงเคาะประตูอย่างแรงดังขึ้นหน้าห้อง

     

    “ก๊อกๆๆ”

    “ใครครับ?” ผมตะโกนถามออกไปเพราะไม่เคยมีใครมาเคาะห้องผมเลย

    “บะหมี่เอง” เสียงเล็กๆ ดังลอดประตูเข้ามา

     

    ผมกระเด้งขึ้นมาจากเตียง เหงื่อเริ่มออกตามไรผมและตามมือ

    “ทำไมบะหมี่รู้จักห้องผม???” ผมคิดในใจ

     

    ว่าแล้วก็เดินไปที่ประตูห้องและส่องตาแมวดู ก็พบว่าเป็นบะหมี่จริงๆ ผมเลยค่อยๆ ปลดโซ่ที่คล้องไว้และหมุนลูกบิดเปิดประตูห้องช้าๆ

     

    “ม..มาได้ไงล่ะเนี่ย”

    “ก็..พอดีเสร็จธุระแล้ว เห็นพี่เดินผ่านมหาลัยมาทางนี้ หนูเลยเดินตามมา”

    “เอ๊า.. แล้วไม่เรียกพี่ตั้งแต่ตอนเดิน จะได้เดินมาพร้อมกัน”

    “แหะๆ กะจะให้สะใภ้ไง..”

    “เซอร์ไพรส์..”

    “อ่ะนั่นแหละๆ แล้วนี่จะให้หนูยืนคุยกะพี่หน้าห้องหรือไงเนี่ย ไม่เชิญเข้าห้องหน่อยเหรอค๊า...”

     

    ผมชะงัก.. รู้สึกว่าตัวเองเกิดอาการลนลานอย่างบอกไม่ถูกจนผมคิดว่าบะหมี่เองก็น่าจะจับพิรุธได้แล้วเริ่มหัวเราะคิกคัก..

     

    “..ห..ห้านาที ขอเคลียร์ที่แป๊บ..”

    “หา?? พี่จะให้หนูรอหน้าห้องห้านาทีเนี่ยนะ”

    “น..นาทีเดียว นาทีเดียวละกัน”

     

    ว่าแล้วผมก็รีบปิดประตูห้องแล้วเอาเท้าเขี่ยกองขยะมโหราฬในห้องออกเพื่อเคลียร์เป็นที่นั่ง พร้อมกับยกกองกระดาษและกองหนังสือต่างๆ ออกจากโต๊ะญี่ปุ่นที่ตั้งอยู่กลางห้องออก และกลับไปเปิดประตู

     

    “แหมพี่ แค่ห้องรกไม่เห็นต้องอายเลย” บะหมี่พูดไปพลางอมยิ้มไป

    “จ..จะบ้าเหรอ ขืนไม่เคลียร์ก่อน เดี๋ยวก็สะดุดของล้มหัวทิ่มแน่ๆ”

    “อ่านะ.. นี่พี่อยู่คนเดียวจริงๆ ซะด้วยดิ”

    “อ..อืม”

    “เอ้อ มีแก้วมั้ย หนูซื้อนี่มาด้วย..” เธอหยิบถุงหิ้วที่แอบไว้ข้างหลังแล้วยกให้ผมดู ข้างในเป็นชาเย็นสองถุงผูกอยู่ และก็ดูเหมือนจะเป็นขนมปังกรอบอีกนิดหน่อย

    “อ่า.. เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้แล้วกัน นั่งตรงนั้นไปก่อน” ผมชี้ไปที่โต๊ะญี่ปุ่นสี่เหลี่ยมกลางห้อง

    “อ่อค่ะ แล้วแต่พี่”

    “คิดยังไงถึงได้มาที่ห้องของผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงกันเนี่ย”

    “แล้วพี่คิดว่าผู้หญิงจะคิดยังไงที่เห็นหน้ากันไม่กี่นาทีก็ชวนไปกินข้าวด้วยกันล่ะ? ใจง่ายรึเปล่า?”

    “บ..บ้าน่า ใครจะไปคิดอย่างนั้น”

    “ก็นั่นแหละคำตอบหนู เหมือนกันกับพี่เด๊ะ”

    “มันคนละคำถามนะนั่น เอาเถ๊อะ.. แปลง่ายๆ ว่าไว้ใจพี่ว่างั้นเหอะ”

    “อิอิ”

    “หัวเราะอย่างกะพวกเล่นเมสเสนเจอร์” ผมแกะชาใส่แก้วและขนมปังใส่จานเดินกลับมาที่โต๊ะ

    “เนี่ย อร่อยนะเจ้านี้ ไม่ได้ขายทุกวันด้วย ขายแค่วันเว้นวัน”

    “โห.. แสดงว่าขายวันเดียวแล้วอยู่ได้สองวันเลยเหรอ”

    “เปล่าอ่ะ ป้าคนขายเค้าเป็นเก๊า ยืนนานไม่ได้..”

    “ถุย..” อันนี้ผมพูดในใจนะ

    “จะว่าไป ห้องพี่นี่ก็ดูอลังการเหมือนกันนะคะเนี่ย”

    “ย..ยังไงเรอะ”

    “ก็..ไอ้พวกที่กองๆ นี่อะไหล่คอมหรือเปล่าคะ ทำไมมันเยอะแยะมากมายขนาดนี้”

    “อ่อ ก็ใช่แหละ”

    “โน๊ตบุ๊คสามเครื่องที่วางบนชั้นนั่นใช้คนเดียวรึเปล่าคะน่ะ โหวว แผ่นหนังดีวีดีกองเป็นพะเนินเลย ว้ายย มีซีรีย์เกาหลีด้วย หนูชอบมากเลยนะเรื่องเนี้ย เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายขายชา”

     

    ผมปล่อยให้เธอเดินสำรวจห้องผมจนพอใจ เพราะดูเหมือนเธอจะเอ็กไซท์ทิ่งมากมายที่เข้ามาในห้องผม อันที่จริงผมเองไม่ได้มีงานอดิเรกอะไรมากไปกว่านั่งเล่นคอมและอินเตอร์เน็ต รวมถึงสะสมขยะคอมพิวเตอร์ที่แม้มันใช้ไม่ได้แต่ก็ตั้งใจว่าจะเก็บไว้ทำแกลลอรี่ในอนาคต รวมถึงกองหนังดีวีดีที่ทั้งเช่าทั้งโหลดบิทมา และกองกล่องพลาสติกโมเดลที่กองเป็นภูเขา

     

    “ห้องพี่แปลกที่สุดเท่าที่หนูเคยเห็นเลย ห้องเพื่อนผู้ชายหนูยังไม่ขนาดนี้เลย”

    “จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะ”

    “อิอิ นั่นสิคะ หนูก็ว่าหนูชมนะเนี้ย”

    “ถ้าคอมมีปัญหาบอกพี่ได้นา.. พี่เก่งโคตรอ่ะ ไม่ได้โม้”

    “ว้าว จริงป่าวคะ แต่คงไม่มีโอกาสมั้ง เพราะหนูไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้เอง”

    “อ้าวเหรอ เรียนที่นี่ไม่มีคอมใช้ก็ลำบากนา..”

    “ค่ะ แต่พี่คงสบายน่าดู มีใช้ตั้งหลายเครื่อง”

    “เอาแลปท๊อปไปใช้มั้ยล่ะ พี่ซื้อมาหลายเครื่องก็จริงแต่ใช้เองจริงๆ เครื่องสองเครื่องแหละ”

    “จริงดิพี่??? หนูขอเครื่องนี้ได้มะ”

    “ไวโอ้สีน้ำตาลเหรอ.. อืมมม ไหนหยิบมาดูหน่อยสิ เผื่อลืมลบคล๊งคลิป”

    “ว้ายๆ มีคลิปลามกเก็บในเครื่องด้วยเหรอเนี่ย กี๊ดๆ”

    “ไม่ใช่ว้อย”

    “แหมๆ หนูแซวเล่นน่าพี่”

    “ห..หยุดล้อเล่นได้แล้ว เดี๋ยวไม่ให้ยืมนะ”

    “อ้ะๆ ล้อเล่นน่า แต่ถ้าพี่จะให้หรือไม่ให้หนูก็ไม่ได้อะไรหรอกค่ะ มีไม่มีก็ไม่ต่างกันหรอก”

    “เอาน่ะ ถ้าไม่ได้ใช้ค่อยเอามาคืนพี่ก็ได้ เดี๋ยวยังไงก็เอากลับไป เผื่อไว้ใช้พิมพ์รายงานหรือทำพาวเวอร์พอย์ตมันต้องใช้นี่นะ”

    “ขอบคุณมากค่ะพี่”

    “โถ่ว.. นึกว่าอะไร ไม่เป็นไรหรอก”

    “พี่นี่เป็นคนดีจัง ชักจะปลื้มแล้วนะเนี่ย”

    “ปลื้มเลยไม่ได้เหรอ.. คนอย่างพี่น่ะ?”

     

    ผมเริ่มคว้ามือเธอมาจับ เธอค่อนข้างตกใจเล็กน้อย แต่มืออีกข้างก็ยังกอดไวโอ้สีน้ำตาลตัวโปรดไว้อยู่ ผมเริ่มจ้องตาเธอตรงๆ ก็พบว่าเธอเริ่มหน้าแดงไปถึงหู เป็นเพราะเธอเองค่อนข้างเป็นคนที่ขาวอยู่แล้วด้วยเลยสังเกตง่าย

     

    “เป็นพี่ไม่ได้เหรอ.. ผู้ชายคนนั้นของบะหมี่..”

    “พ..พี่หมายถึงอะไร”

    “พี่ขอคบกับบะหมี่ได้ไหม พี่มั่นใจว่าพี่พร้อมที่จะทำเพื่อบะหมี่ พี่จะไม่ทำให้บะหมี่เสียใจแน่นอน”

    “ห..หนู ให้คำตอบเลยไม่ได้หรอก”

    “อืม.. พี่เข้าใจ”

    “ต.. แต่ว่า หลังจากนี้เจ็ดวัน หนูจะให้คำตอบพี่แล้วกันนะคะ พี่รอได้ไหม”

    “ยังไงก็ได้ พี่อยู่แบบนี้คนเดียวมานาน ถ้าจะมีความหมาย พี่ก็อยากให้บะหมี่เติมเต็มให้พี่ และพี่ก็มั่นใจว่าพี่จะเติมเต็มส่วนที่แฟนเก่าของบะหมี่ไม่เคยทำได้..”

    “เลิกพูดถึงเขาเถอะค่ะ”

    “ข..ขอโทษนะ”

    “หนู.. ขอตัวกลับก่อนนะคะ”

    “พี่เดินไปส่งมั้ย?”

    “ม..ไม่เป็นไรค่ะ หนูไปคนเดียวได้”

     

    เธอพูดจบแล้วก็หยิบกระเป๋าที่เธอถือมาด้วย พร้อมกับอุ้มแลปท๊อปเครื่องสีน้ำตาลของผมกลับไปด้วยท่าทีร้อนรน และทำให้ผมรู้สึกผิดที่พูดกับเธอแบบนั้น และที่สำคัญคือเธอไม่ได้เอาเม้าส์กับอะแดปเตอร์ชาร์จแบตไปด้วย..

     

    ผมเดินมาที่เตียงและเอนตัวลงนอนอีกครั้ง.. ผมตะแคงตัวหันมามองที่โต๊ะญี่ปุ่นอันว่างเปล่า.. แก้วน้ำที่ใส่ชาเย็นทั้งสองใบยังตั้งอยู่ พร้อมทั้งจานใส่ขนมปังกรอบที่ยังกินไม่หมด.. เธอคงลำบากใจที่ผมเผลอพูดแบบนั้นออกไป เลยรีบกลับสินะ...

     

    สุดท้ายแล้ว คำตอบของผมที่จะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรผมคงใส่ใจอะไรมากไม่ได้ เพราะผมต้องยอมรับความจริงว่าผมอยู่คนเดียวมานาน นานมากเกินไปที่จะปฏิบัติกับคนอื่น หรือวางตัวกับคนอื่นอย่างรอบคอบโดยไม่ส่งผลกระทบต่อจิตใจของฝ่ายตรงข้าม..

     

    คืนนั้น ผมเผลอหลับไปโดยที่ยังมีแก้วและจานขนมอยู่บนโต๊ะ..

     

     

     

    วันรุ่งขึ้น อากาศยังคงเย็นอยู่ ถึงผมจะดีใจที่กรุงเทพมีหน้าหนาวก็เถอะแต่ก็ไม่เย็นเหมือนลำปางบ้านผม ปีนี้ได้ข่าวว่าพ่อได้หยุดหลายวัน อันที่จริงเราตั้งใจว่าจะไปเที่ยวปายเหมือนในหนังที่กำลังจะฉาย แต่..ผมคงไม่มีหน้ากลับไปหาพ่อกับแม่แล้วล่ะนะ..

     

    ผมหยิบเสื้อกันหนาวตัวเก่งขึ้นมาและสวมคลุมเพื่อเดินไปเรียนอย่างปกติ.. น่าแปลกใจตรงที่วันนี้อากาศเย็นอย่างบอกไม่ถูก สงสัยเป็นเพราะผมไม่ได้ตามข่าวกรมอุตุเท่าที่ควรซึ่งทางนั้นคงมีข่าวดีว่าปีนี้จะหนาวจนมีหิมะตกกลางกรุง

     

    อันที่จริงตอนนี้ก็ยังเพิ่งเจ็ดโมงเช้าซึ่งผมมานึกได้ว่า.. วันนี้ไม่มีเรียน ผมเลยไม่อยากเสียเที่ยวหลังจากออกมา เลยเดินไปที่รถเข็นขายหมูย่างเจ้าประจำที่ผมซื้อกินบ่อยๆ ทักทายตามประสาแล้วสั่งห้าไม้กับข้าวเหนียวสองเหมือนอย่างเคย แม่ค้าหัวเราะเสียงดังเลยว่ากรมอุตุมั่วนิ่มว่าปีนี้กรุงเทพหนาว เพราะบ้านเมืองยังระอุด้วยไฟการเมืองอยู่เลย ม๊อบเสื้อแดงเสื้อเหลืองลงถนน แต่เห็นคุณป้าแกขายหมูย่างแบบนี้ แกก็ยังพกเครื่องรางเป็นตีนตบกับผ้าโพกหัวสีแดงมาทุกวัน เห็นว่าทำแล้วขายดี ฮะฮะ..

     

    ผมหย่อนก้นลงบนม้านั่ง เหม่อมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าหลายคนเริ่มสวมเสื้อกันหนาวบ้างแล้ว 

     

    ขณะที่กำลังยืนคุยอยู่นั้นเอง ภาพที่ปรากฏด้านหลังแม่ค้าที่ผมหันไปมอง คือภาพของบะหมี่สวมเสื้อกันหนาวเดินออกมาจากซอย แสงแดดรำไรที่ปะทะกับใบหน้าและผมของเธอ ช่างดูเป็นประกาย หรือว่า..ผมจะชอบเด็กคนนี้จริงๆ นะ?

     

    เมื่อเธอเห็นผม เธอก็รีบเดินมาหาผมทันทีด้วยสีหน้าเหมือนดีใจ..

     

    ผมคิดในใจว่า อย่างน้อยผมเองก็ยังโชคดีที่เธอไม่ได้เกลียดอะไรผมมากนัก..

     

    “พี่ยัณห์.. ไปดูแดดตอนเช้ากัน”

    “ที่ไหนเหรอ??”

    “ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอ่ะ”

    “หา.. แล้วไปไง?”

    “แท๊กซี่ดิ วันนี้หนูไม่มีเรียน นะๆ ไปด้วยกัน เดี๋ยวหนูออกค่าหมูย่างให้”

    “อ้าวแล้วใครออกค่าแท๊กซี่??”

    “พี่ไง”

     

    ค่าข้าวเหนียวหมูย่างสามสิบ.. แต่ขึ้นแท๊กซี่ก้าวเดียวก็สามสิบห้า..แล้วยังต้องวิ่งไปอีกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ช่างเป็นสิ่งที่ไม่คุ้มกันเลยแฮะ แต่เอาเถอะ.. อย่างน้อยการที่เธอเป็นคนเอ่ยปากชวนผมด้วยตัวเอง ก็แสดงว่าเธอไม่ได้รังเกียจผม และดูเหมือนว่า การไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะตอนเช้าๆ ก็น่าจะเป็นบรรยากาศการเดทที่โรแมนติกอยู่ล่ะนะ..

     

    “ทำหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องแบบนั้นแล้วดูขนลุกไงไม่รู้อ่ะ” บะหมี่หันมาพูดกับผมขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่

    “มะ..ไม่มีอะไรหรอกน่า”

    “คงไม่ได้คิดเรื่องลามกหรอกนะ??”

    “บ..บ้าน่า แค่คิดว่า เดทกันริมแม่น้ำ ในสวนสาธารณะมันก็ดูโรแมนติกดีเฉยๆ ก็แค่นั้นเอง ไม่ได้คิดลึกอะไร”

    “ฮะฮะ.. เด็กหนุ่มสาวสมัยนี้นี่ดีจริงๆ นะครับ” คนขับแท๊กซี่ถึงกับแซว ทำให้พวกเรานั่งอายไม่กล้าพูดอะไรต่อจนมาถึงปลายทางเลย

     

    “ฮ๊า... อากาศดีจัง” ผมยืนบิดขี้เกียจหลังจากลงจากแท๊กซี่

    “แจ๋วใช่มั้ย ปกติเวลาที่หนูเบื่อๆ เครียดๆ หนูก็จะมาเดินเล่นที่นี่คนเดียวแหละ” บะหมี่ทำท่าโอ้อวด

    “ดีจังนะ.. ถ้าเป็นพี่แล้ว เวลาเครียดก็คงต้องหาเกมพวกเดินยิงไล่ฆ่ามานั่งเล่นแก้เบื่อแล้วล่ะ” ผมเหม่อมองออกไปที่แม่น้ำ

    “ออกแนวโรคจิตนะนั่น  แต่ก็..เหมาะกับพี่ดีนะ เด็กเนิร์ดต้องแบบนี้แหละ” บะหมี่ยิ้ม

    “เนิร์ดแล้วรักมั้ยเล่า?” ผมหันไปสบตา..

    “ทะลึ่งละ” บะหมี่ไม่เล่นด้วยแหะ หันหน้าหนีเฉย

     

    ผมเดินมาจนสุดทางเดิน มองไปที่แม่น้ำเจ้าพระยา.. เช้านี้น้ำขึ้นสูงพอสมควร มีคลื่นและลมพอให้ได้กลิ่นประปราย แต่มันก็ไม่เหมือนกับทะเลเลยซักนิดเดียว ถึงแม้ว่าบ้านผมจะไม่ได้อยู่ใกล้ทะเลแต่ก็ได้มีโอกาสไปเที่ยวครั้งสองครั้งเหมือนกัน ความรู้สึกเวลาอยู่ต่อหน้าทะเลแล้ว เหมือนกับว่ามันสามารถทำให้ผมยกเรื่องเครียดๆ เป็นภูเขาออกจากบ่าได้หมดเลยทีเดียว

     

    “หาที่นั่งกินหมูย่างกันเหอะ” บะหมี่ดึงแขนผม

    “เสียดายแฮะ พี่ซื้อมานิดเดียว”

    “แหม.. หนูก็ไม่ได้กระเพาะใหญ่โตอะไรมากมายหรอกค่ะ สบายใจได้”

    “อ้าวเหรอ แล้วเมื่อคืน.. ขนมปังกับชาที่กินไม่หมดล่ะ? ไม่ใช่ว่าเขินพี่จนรีบกลับแล้วไม่ได้กินให้หมดหรอกเหรอ”

    “อ๋อ ไม่เกี่ยวหรอกค่ะ ปกติหนูซื้อกินคนเดียวก็ไม่เยอะขนาดนั้นอยู่แล้ว เมื่อคืนเผื่อพี่โดยเฉพาะ”

    “แหม.. เห็นรีบกลับนี่น๊า.. ทำพี่คิดมากทั้งคืนเลย พี่เลยไม่ได้นั่งกินต่อ”

    “อ้าวเหรอ.. ว้า เสียดายอ่ะ อร่อยด้วย แต่แหม.. แค่หนูบอกว่าเดี๋ยวให้คำตอบนี่พี่เอาไปคิดมากจนนอนไม่หลับเลยหรอ อิอิ ดีใจดีมั้ยเนี่ย”

    “ดีใจทำไมฟะ”

    “ก็นะ หนูรู้สึกดีเวลาที่มีคนแคร์ไง”

    “หลายคืน.. ที่ไฟภายในห้องนอนก็ปิดจนมืดไป แต่ใจยังมองเห็นเธอ.. ยังเห็นเธอ ที่ดูยังคงร่าเริงเมื่อเดินจากฉันไป..”

    “พ..พอเหอะพี่ หนูขนลุก เพลงอะไรเนี่ย”

    “อ้าว.. ไม่เคยฟังสวิตช์ที่ใจของพี่เบิร์ดเหรอเนี่ย โหย วัยรุ่นเซ็ง”

    “แหม ทั้งคนฟังคนร้องนี่ไม่วัยรุ่นแล้วค่ะ”

    “โอววว.. ปากคอเราะร้ายนะเนี่ย”

    “แต่ลูกคอก็ได้อยู่นะ พี่นี่เก่งชะมัด เก่งคอมแล้วยังเก่งร้องเพลงอีก”

     

    ผมรู้สึกดี... อย่างน้อยก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่ได้ดำเนินไปในทิศทางที่แย่มากนัก และดูเหมือนเธอจะตอบรับผมพอสมควรและสามารถพูดคุยต่อปากต่อคำกับผมได้อย่างรวดเร็ว ยังไงซะ คำตอบที่ผมน่าจะได้รับภายในอีกไม่กี่วันข้างหน้าก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีนี่นะ.. ผมคิดแบบนั้น

     

    “เกือบสิบโมงแล้วแฮะ แดดเริ่มร้อนแล้วสิเนี่ย” ผมเริ่มเปรยเพราะดูเหมือนเหงื่อจะออกเพราะใส่เสื้อกันหนาว

    “เมื่อคืนดูทีวีเค้าบอกจะหนาวอีกอาทิตย์นึงแน่ะ” บะหมี่แย้งด้วยข่าวทางทีวี

    “ถ้างั้นสงสัย.. เป็นเพราะบะหมี่อยู่ใกล้พี่ไง พี่เลยไม่ขาดความอบอุ่น” แอบหยอดมุกซะเลย

    “บ..บ๊องแล้ว” มุกได้ผลแฮะ.. บะหมี่ทำท่าเขินได้น่ารักทีเดียว

     

    เรามีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันทุกวัน เมื่อถึงวันต่อๆ มา ทุกครั้งที่ว่างจากเรียนเราก็จะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ

     

    จนเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ราวกับเวลานั้นวิ่งเร็วเสียเหลือเกิน

     

    และวันสุดท้ายสำหรับคำตอบที่ผมรอก็มาถึง..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันสุดท้ายสำหรับคำตอบ.. เธอทำหน้าเครียดๆ แววตาดูเศร้าหม่น เธอเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ไม่เหมือนอย่างเคย

     

    “ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ หืม?”  ผมเห็นสีหน้าอันบ่งบอกถึงความกังวล จึงเริ่มถาม

    “หนูมีความจริงอยากจะบอก.. พี่จะโกรธมั้ยคะ”

    “หืม? เรื่องที่พี่ขอเป็นแฟนกับบะหมี่น่ะเหรอ.. ถ้าลำบากใจ บอกพี่มาตรงๆ ก็ได้”

    “ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกค่ะ!” เธอพูดสวนผมขึ้นมาเสียงดังจนผมตกใจ “เรื่องที่พี่ชอบหนู หนูเองก็ดีใจมาก พี่เองก็เป็นคนดีนะคะ จริงๆ ครั้งแรกที่หนูเห็นพี่ หนูก็รู้แล้วว่าพี่เป็นคนดี แต่เพียงแค่พี่หมดกำลังใจช่วงสั้นๆ แค่นั้นเอง”

    “แล้วมีเรื่องอะไรล่ะ?”  ผมยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม

    “ซิก.. ฮ..ฮือ..ๆๆ” เธอเริ่มร้องไห้.. “หนูขอโทษ ฮือๆๆ หนูขอโทษ หนูเสียใจ” บะหมี่พูดแต่คำว่าขอโทษ

    “เดี๋ยวสิบะหมี่ เป็นอะไรไป ร้องไห้ทำไม แล้วขอโทษพี่เรื่องอะไร”

     

    ผมพยายามเค้นจากเธอว่า ตกลงเธอขอโทษผมเรื่องอะไร

     

    “ถ้าหนูไม่ตะโกนห้ามพี่วันนั้น พี่ก็.. พี่ก็..”  บะหมี่พูดค้างๆคาๆ

    “ก็อะไรบะหมี่??? พี่งงไปหมดแล้ว ก็อะไรเหรอ” ผมพยายามจับไหล่เธอเพื่อเค้นถาม

    “พี่ก็.. คงไม่ตกลงไป..”

     

    .... ผมยืนช็อคสุดตัว อยู่ๆ ผมก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบเหมือนถูกผีหลอกขึ้นมาซะเฉยๆ มือที่กำลังจับไหล่ของบะหมี่อยู่สัมผัสได้ถึงความเย็นเยือก.. มันผิดกันกับอารมณ์และบรรยากาศเมื่อกี้สิ้นเชิงเลย...

     

    ผมพยายามตั้งสติตัวเองให้ดี รวมรวบความคิดและลำดับความเรื่องวันนั้น วันที่ผมพบเธอครั้งแรกบนดาดฟ้า และค่อยๆ ตีความหมายของมัน ขณะที่บะหมี่ยังยืนร้องไห้บ่นพึมพำถึงคำว่าขอโทษอย่างเดียว

     

    “มัน.. เกิดอะไรขึ้นกันเหรอวันนั้น” ผมได้เริ่มถามเธออีกครั้ง

    “หนูเห็นพี่ยืนอยู่บนดาดฟ้าวันนั้น หนูเห็นแววตาเศร้าๆ ของพี่แล้วหนูแค่อยากจะช่วยพี่ไม่ให้พี่ทำผิดพลาดไป แต่มันก็กลายเป็นว่าหนูทำบาปเพิ่มไปซะอีกที่ทำให้พี่ตกลงไปตาย”

     

    ..ห.. “หา!!!! ตกลงไปตาย????”

    “ค่ะ.. หนูเสียใจ.. แต่ พี่ต้องรับความจริงให้ได้นะว่าพี่ตายแล้ว...”

    “บ.. บ้าน่า พี่จะตกลงไปตายได้ยังไงกัน ตอนที่บะหมี่ตะโกนเรียกพี่ พี่ก็หยุดหันมาดูหนูไง แล้วพี่ก็ทำมือถือตกลงไป”

    “ใช่ค่ะ พี่ทำมือถือตกลงไป”

    “นั่น เห็นมะ แล้วพี่ก็หันกลับมาว๊ากหนูไง ว่ามาตะโกนเสียงดังทำไม ทำให้มือถือพี่หล่น..”

    “แต่.. พี่ตายแล้วจริงๆ ค่ะ พี่หล่นจากดาดฟ้าตอนที่หนูตะโกนเรียกพอดี”

    “บ้าน่ะ!! หยุดพูดบ้าๆ ได้แล้ว พี่โกรธจริงๆ แล้วนะ”

    “หนูขอโทษค่ะ หนูขอโทษ ฮือๆๆๆ”

    “บ้าเอ้ย บอกให้หยุด บอกให้หยุดไง พูดบ้าอะไรวะ หา!!!???”

    “อีกประเดี๋ยวเดียวพี่ก็จะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วค่ะ”

     

    ... ผมตกใจอีกครั้ง คราวนี้ความเสียวสันหลังมันวิ่งตั้งแต่ก้นกบไล่มากระดูกสันหลังจนถึงหัวเลย อารมณ์นี้สินะที่เขาเรียกว่าขนหัวลุก... แววตาและน้ำเสียงของบะหมี่เริ่มเปลี่ยนไป แต่ผมเองเริ่มรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีแล้วเหมือนกัน เลยพยายามที่จะดึงเธอกลับลงมาจากดาดฟ้า

     

    แต่เหมือนมีมือมากระชากแขนผมอย่างแรง แรงจนชนิดที่ผมลอยตามแรงที่กระชากตัวผมออกไปจากประตูเลยทีเดียว ผมตกใจ เพราะไม่คิดว่าบะหมี่จะมีแรงดึงผมได้ขนาดนี้ ผมจึงหันไปดูที่มาของมือที่จับแขนผม แต่มัน.. ว่างเปล่า

     

    บะหมี่ยังยืนมองผมอยู่ที่เดิม ผมยังคงตกตะลึง.. เพราะสิ่งที่มองไม่เห็น กำลังลากผมกลับไปที่ๆ บะหมี่ยืนอยู่ ผมเริ่มแหกปากร้องโวยวายแล้ว ความกลัวเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด ผมเริ่มน้ำตาไหล สิ่งที่มองไม่เห็นลากผมผ่านตัวบะหมี่ไป โดยที่เธอทำสายตาเศร้าๆ พลางบอกสั้นๆ กับผมว่า “ไม่มีใครหนีกรรมนี้พ้นหรอกค่ะ”

     

    “กรรม??? กรรมอะไร ผมไปทำอะไรไว้ พี่ไปทำอะไรไว้บะหมี่?? ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพี่”

     

    ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามเธอจบ ตัวผมก็ลอยขึ้นไปได้เองอย่างช้าๆ ผมเริ่มร้องเสียงหลงและรู้ตัวว่าพูดไม่เป็นภาษามนุษย์ เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าคือ ผมได้ยืนอยู่บนขอบกำแพงของตึกเหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนไม่มีผิด..

     

    “หนูขอโทษค่ะ.. หนูขอโทษ” บะหมี่ยังคงร้องไห้และพร่ำแต่คำว่าขอโทษ

     

    วินาทีนั้นเอง สิ่งที่เหนี่ยวรั้งผมไว้ ก็พลันคลายออก ตัวผม..ก็ค่อยๆ มองเห็นพื้นดินที่อยู่เบื้องล่างชัดเจนมากขึ้น.. มากขึ้น

    และสิ่งที่ผมทำได้อย่างเดียวคือ แหกปาก...

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

     

    “ตุบ..” เสียงวัตถุหล่นลงพื้น.. แรงคูณระยะทางตั้งฉาก.. ผมเริ่มนึกถึงกฎของไอแซค นิวตั้น

     

    ผมลืมตาขึ้น.. และพบว่าแก้มของผมติดอยู่กับดิน ที่ดูเหมือนจะเป็นร่องตามแรงของตัวผมที่ตกลงมา ไม่กี่วินาที มือถือเครื่องเก่งของผมก็หล่นตามลงมา และแตกกระจายเป็นเศษเล็กเศษน้อย..

     

    ผมเริ่มขยับส่วนอื่นดูก็ปรากฏว่าภาพที่เห็นคือร่างกายที่แหลกเหลวของผมเอง ...เจ็ดวันที่แล้ว ด้านล่างของตึก.. เขาไม่ได้มีกิจกรรมอะไรสินะ.. เด็กพวกนั้น แค่มายืนมุงดูผมที่ตกจากตึกลงมาตายเท่านั้นเอง.. ไม่นานนัก ความทรงจำของผมก็เริ่มเหมือนกับเทปที่กำลังฉายภาพเก่า.. ตัวผมเองยังคงมองเห็นผู้คนที่ค่อยๆ เดินเข้ามามุงดู เด็กผู้หญิงบางคนส่งเสียงกรีดร้อง บางคนทำหน้าตาสะอิดสะเอียน บางคนก็ถึงกับอาเจียนเลยทีเดียว.. แต่ตัวผม..ยังคงเหลือกตาได้อยู่ ภาพที่เห็นท่ามกลางเหล่าเด็กนักศึกษาที่มุงดูผม ก็ค่อยๆ ปรากฏภาพของบะหมี่เดินเข้ามาอย่างช้าๆ .. จนมาหยุดตรงหน้าผม

     

    “เชื่อหรือยังคะ.. ว่าพี่ ตายแล้วจริงๆ”

    “อืม..” ผมตอบในลำคอ โดยไม่ยี่หระอะไร..

    “แต่..หนูก็มีความจริงอีกอย่างที่จะบอกพี่เหมือนกัน”

    “วันนี้ความจริงเยอะจังนะ..” 

    “พี่ไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ.. เดี๋ยวพี่ก็กลับมาลุกขึ้นยืนได้ตามปกติ.. ตอนนี้ก็ต้องอยู่แบบนี้ไปสักพัก.. และพี่ก็ต้องเป็นแบบนี้ต่อไป จนกว่าพี่จะหมดอายุขัยของพี่จริงๆ” พอเธอพูดจบ เธอก็เดินไปเก็บอะไรบางอย่าง แล้วแบมือให้ผมดู

    “เหมือนกันกับที่หนูเก็บให้พี่เมื่อวันก่อนมั้ยคะ?”

    “อืม.. ใช่เลยล่ะ ซิมอันนี้”

    “ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ ปิ๊บๆ” .. เสียงนาฬิกาข้อมือลายการ์ตูนสติทช์..ส่งเสียงร้องออกมา เพื่อเตือนเวลา

    “ได้เวลาแล้ว.. เดี๋ยวหนูมานะคะ”

     

    ผมไม่รู้ว่าเธอจะไปไหน แต่พอเธอพูดจบ ก็เดินฝ่าฝูงชนที่ยังมุงดูผม แล้วหายไป.. โดยที่ผมเองก็ยังนอนอยู่ โดยที่ภาพรอบตัวผมเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เหมือนกำลังอยู่ในความฝันยังไงอย่างงั้น ผมนอนดูผู้คนที่รายล้อมผมไปเรื่อย.. จนรู้สึกตัวอีกทีก็ทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว

     

    “ตุบ..” เสียงวัตถุหล่นลงพื้นดังสนั่น แต่อยู่คนละฝั่งกับที่ผมหันหน้าอยู่ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเริ่มขยับตัวได้แล้วผมจึงหันไปดู แล้วก็ต้องแหกปากเสียงดัง

     

    “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกก อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”

     

    ไม่อยากจะเชื่อว่าภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือ.. “บะหมี่!!!!”

     

    ความรู้สึกเสียวสันหลังวาบกลับมาอีกครั้ง คราวนี้วิ่งจี๊ดขึ้นถึงหัวอีกรอบ นี่สินะที่เรียกว่าอาการขนหัวลุก.. ผมไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน ผมรู้สึกว่าผมกลัวผี.. ใช่.. ผมกลัวผีทั้งๆ ที่ผมรู้ว่าผมเป็นผี

     

    สายตาคู่นั้น เหลือกมาที่ผม.. ท่ามกลางเลือดที่ไหลออกจากตาและหู รวมถึงปากของบะหมี่ เป็นภาพที่สยดสยองจริงๆ ..

     

    “นี่แหละค่ะ.. ความจริงที่หนูจะบอกอีกเรื่อง..” ปากเธอพูดพึมพำ พร้อมกับมีเลือดกระเด็นออกมาจากปากเธอ

    “บะหมี่.. นี่หมายความว่า...”

    “ใช่ค่ะ... หนูเองก็ฆ่าตัวตายแบบพี่ และทำมาก่อนหน้าพี่ด้วยซ้ำ...”

    “ด..ได้ไง ทำไมไม่เห็นได้ยินข่าว????”

    “หนู..ทำก่อนที่ตึกนี้จะสร้างเสร็จซะอีก... หนู..เสียใจทุกครั้งที่ต้องทำแบบนี้ การทำอัตตวินิบากกรรม..มันรุนแรงจริงๆ”

    “ทำ..ทำไมถึงได้..”

    “ความรักค่ะ.. เหตุผลของหนู..มันช่างไร้สาระเสียจริง.. หนูเข้าใจดีถึงเหตุผลที่พี่ไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่.. เพราะว่าความสิ้นหวังมันเกาะกินหัวใจทุกครั้งที่อยู่คนเดียว พี่อยู่คนเดียวมาตลอดเวลา พี่เลยคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จะอยู่ต่อไปโดยที่ไม่มีความหวังอะไรทั้งนั้น ต่างจากตัวหนู..ที่เพียงเพราะแฟนเก่าหนูเขาไม่รัก หนูกลับมาลงที่ตัวเองและจบชีวิตโดยที่เขาก็ไม่ได้สนใจหรือให้ความหมายกับการตายของหนูเลย..”

    “..บ..บะหมี่”

    “พี่รู้มั้ยคะ.. ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา หนูคิดว่าการที่มีพี่อยู่ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้หนูมีความหมาย.. หนูอยู่แบบนี้ ทำแบบนี้คนเดียวมานาน และทุกๆ ครั้งหนูจะเสียใจกับสิ่งที่หนูทำ.. แต่พอได้พบพี่ เพียงช่วงเวลาสั้นๆ มันก็ทำให้หนูรู้สึกดีใจว่าหนูได้เจอผู้ชายดีๆ กับเขาเหมือนกัน และทุกครั้งที่หนูดีใจกับสิ่งนี้ หนูก็จะยิ่งเสียใจกับการกระทำของหนูมากขึ้น เพราะหากหนูไม่ฆ่าตัวตาย.. หนูอาจจะได้เจอกับพี่ที่ไหนซักแห่งในมหาลัยนี้ โดยไม่ทำให้พี่ต้องเจ็บปวด..หรือเสียใจ”

    “ลุกขึ้นเถอะ..”

    “คะ?”

    “ถึงจะรู้ว่าเป็นบาป.. แต่อย่างน้อย การที่พี่มาอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้ชีวิตของบะหมี่เปลี่ยนไปใช่ไหมล่ะ? บะหมี่อย่าโทษตัวเองอีกเลยนะ..”

    “แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว สิ่งนี้จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงนะคะ”

    “ก็.. แค่เวลาประเดี๋ยวประด๋าวที่ต้องสำนึกบาปนี่นะ... แค่เพียง.. มีหนูอยู่เคียงข้าง พี่ก็พอใจแล้ว”

    “พี่...”

    “ถ้าชาติหน้ามีจริง.. เราอาจจะได้เกิดมาเป็นเนื้อคู่กันก็เป็นได้นะ..”

    “พระผู้เป็นเจ้า.. ถึงตัวของหนูจะบาปมากมายเหลือเกิน.. แต่ถ้าจะมีพรสักข้อที่อยากจะขอ.. หนูก็อยากจะขอให้ได้อยู่กับชายคนนี้ตลอดไปค่ะ..”

    “น่า.. พี่ไม่ทิ้งหนูไปแน่นอน”

     

    ..เพราะนี่เป็นรักครั้งแรกและครั้งเดียวของชีวิตพี่ไงล่ะ...

     

     

     

    1เดือนต่อมา..

     

    “เฮ้ยๆ รู้เรื่องอาคารใหม่ยังวะไอ้โพ”

    “อาคารใหม่ไหนวะ? ใช่ตึกปฏิบัติการวิดวะรึเปล่า”

    “เออๆ นั่นแหละ กูได้ยินมาเว้ย เรื่องเล่าสดๆ ร้อนๆ รุ่นพี่แม่งเล่าให้ฟัง โคตรน่ากลัวอ่ะ”

    “เรื่องผีเหรอวะไอ้ลภ?”

    “เออดิ แม่ง.. มึงรู้ป่าว ว่าตึกใหม่อ่ะมีเด็กนักเรียนกระโดดตึกตายสองคน”

    “สองคนเลยเหรอวะ..”

    “เออดิ แม่ง.. เค้าลือว่าเป็นคู่รักกัน แล้วแบบว่าผู้ชายแอบนอกใจไปมีคนอื่น ผู้หญิงเลยกระโดดตึกตายอ่ะ แล้วพอผู้ชายรู้ว่าแฟนกระโดดตึก ก็ประสาทหลอนเว้ย คิดว่าแฟนตัวเองมาตามเกาะหลังตลอดเวลาเลย”

    “บรื๋อ น่ากลัววุ้ย”

    “ไม่เท่านั้นนะเว้ย.. หลังจากนั้นไม่นาน ผู้ชายคนนี้แม่งก็ไปกระโดดตึกตาย ตรงดาดฟ้า ที่เดียวกับที่ผู้หญิงคนนั้นกระโดดเป๊ะเลย..”

    “เชี่ย หลอนสัด... แล้วมาเล่าตอนนี้ เดี๋ยวต้องไปเรียนอีก”

    “ไปฟังใครมาวะ..ลภ เรื่องเล่าแม่งโคตรมั่วเลย ผู้หญิงผู้ชายโดดตามกันที่ไหนกัน ตอนโดดเค้ายังไม่รู้จักกันเลย”

    “อ้าวพี่ยัณห์ มาตั้งกะเมื่อไหร่พี่ แล้ววันนี้มีเรียนป่ะ”

    “มีๆ คลาสเดียวกะเอ็งอ่ะ เดี๋ยวไปนั่งเรียนด้วย”

    “โหแล้วพี่มาไงเนี่ย แล้วไปรู้ได้ไงว่าเค้าไม่รู้จักกันพี่..”

    “เออน่า.. รู้แล้วกัน..หึหึหึหึหึหึหึ”

     

    จบบริบูรณ์

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×